คืนการเรียนรู้แห่งเยาว์วัย คืนหัวใจแห่งความเป็นเด็ก The Call of the Wild and Free / เอนสลีย์ อาร์เมนต์
ดีไซน์ปกอาจมีการเปลี่ยนแปลง
ผู้เขียน เอนสลีย์ อาร์เมนต์
ผู้แปล กนกกาญจน์ เวชชวิศิษฏ์
สำนักพิมพ์ SandClock Books
หมวดหมู่ จิตวิทยาและการเลี้ยงดู
บาร์โค้ด 9786168255674
ISBN 978-616-8255-67-4
ขนาดรูปเล่ม : ปกอ่อน / 16.5 x 23.7 cm. / เนื้อในพิมพ์ 2 สี
จำนวน 352 หน้า
ราคา 420 บาท
เหมาะสำหรับสำหรับพ่อแม่ที่อยากเลี้ยงลูกแบบโฮมสคูล
เรื่องย่อ
“เด็กๆ ต้องการเวลา ไม่ใช่สติปัญญาของเรา สิ่งที่ทำให้พวกเขาผลิบานคือความรัก ไม่ใช่ทักษะทางภาษาที่สมบูรณ์แบบ พวกเขาต้องการความเมตตา ไม่ใช่ความเชี่ยวชาญทางปัญญา และพวกเขาจะได้เรียนรู้อย่างจริงแท้แน่นอนเมื่อได้รับเวลาที่จะสำรวจแนวคิดต่างๆ โดยไม่ต้องตรวจสอบข้อเท็จจริงหรือทำการสอบอยู่ตลอดเวลา”
The Call of the Wild and Free ชวนผู้ใหญ่รายรอบตัวเด็กๆ ร่วมกันทบทวนภารกิจสำคัญ ในฐานะผู้ปกป้องรักษาความสงสัยใคร่รู้ และความคิดสร้างสรรค์อันมีมาแต่กำเนิดให้ยังคงอยู่ เป็นผู้อยู่เคียงข้างและเฝ้าดู ให้เด็กๆ ได้เติบโตและเรียนรู้ไปตามจังหวะของตนเอง
เพื่อร่วมกันคืนอิสรภาพให้เด็กๆ ของเราได้สำรวจ ค้นพบ และเล่นสนุก ได้มีช่วงวัยที่ได้เป็นเด็กอย่างแท้จริง
————————————————————————————
คำนิยม
นายแพทย์ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์
อ่านหนังสือเล่มนี้ให้เหมือนอ่านหนังสือ The Call for the Wild ของแจ็ก ลอนดอน ครับ คืออ่านไปเรื่อยๆ ถ้าจะเก็บเกี่ยวอะไรได้ให้ขีดเส้นใต้ไว้ ถ้าจะไม่ขีดเส้นใต้อะไรก็อ่านไปเรื่อยๆ แล้วจะได้เอง ได้อะไร ได้คำอธิบายว่าเพราะอะไรเราควรจัดการศึกษาแก่ลูกของเราด้วยตนเอง
อย่าเพิ่งรีบปฏิเสธว่าไม่มีเงินหรือไม่มีเวลา ความเข้าใจผิดเรื่องเงินและเวลามีเขียนเอาไว้แล้วในหนังสือ ไม่นับว่าผู้เขียนหนังสือเล่มนี้มิได้เรียกร้องว่าเราจำเป็นต้องทำโฮมสคูลเต็มรูปแบบ แต่เป็นเหมือนที่ผมพยายามบอกเสมอว่าเราปล่อยเรื่องทั้งหมดไว้กับโรงเรียนมิได้ หากกล่าวจำเพาะเจาะจงบริบทบ้านเราก็ยิ่งไม่สมควรทำไปจนถึงทำไม่ได้ ไม่มากก็น้อยเราต้องลุกขึ้นทำบางสิ่งด้วยตัวเอง
ทำบางสิ่งนั้นคืออะไร คุณพ่อคุณแม่มีสองวิธีให้เลือก คือหนึ่ง ขีดเส้นใต้ข้อความสำคัญในหนังสือเล่มนี้แล้วทำ หรือสองอ่านจนกว่าจะได้ไอเดียเองว่าเราควรทำอะไรบ้าง ทั้งนี้ขึ้นกับความถนัดของท่านเอง อันที่จริงผมขีดเส้นใต้ข้อความสำคัญไว้หลายที่ ดีๆทั้งนั้นเลย แต่รู้สึกเป็นการไม่สมควรที่จะบอกกล่าวทั้งหมดด้วยอาจจะผิดวัตถุประสงค์ของผู้เขียนเล่มนี้
ผมเดาว่าผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ต้องการให้เราอ่านจนกระทั่งคิดออกเองว่าควรทำอย่างไร และที่สำคัญคือขอให้เชื่อมั่นในสัญชาตญาณความเป็นแม่ของตนเอง เรื่องนี้ผมเขียนหลายครั้งเช่นกัน อดีตไม่เคยมีจิตแพทย์เด็กและนักจิตวิทยาเด็ก พ่อแม่แต่โบราณเลี้ยงลูกด้วยสัญชาตญาณมานานสามหมื่นปีตั้งแต่ครั้งเป็นมนุษย์ถ้ำ เพราะอะไรวันนี้เราจึงไม่เชื่อมั่นในสัญชาตญาณความเป็นพ่อแม่มากเพียงนี้ หนังสือเล่มนี้เขียนถึงสัญชาตญาณพ่อแม่หลายตำแหน่งมาก
เราทำสัญชาตญาณพ่อแม่หายไปเพราะเรามากไป เรามากไปเพราะสังคมคาดหวังและกดดันเรามากไป เราจึงเผลอกดดันลูกของเรามากไป ผลลัพธ์ที่ได้คือเด็กจำนวนมากออกนอกเส้นทางพัฒนาการปกติ ไม่ว่าจะเป็นพัฒนาการทางจิตวิทยาหรือพัฒนาการด้านการเรียนรู้ พูดให้ชัดๆ คือพัฒนาการด้านการศึกษา เหล่านี้ล้วนติดขัด ถดถอย หรือเฉไฉออกนอกเส้นทางไปเสียทั้งหมด ที่ผู้เขียนหนังสือเรื่องนี้ call คือ call for the wild ดึงธรรมชาติของทุกคนคืนมาให้ได้
คือธรรมชาติของพ่อแม่ที่จะรู้เองว่าควรทำอะไรและอย่างไรในสถานการณ์ใด
ที่สำคัญคือธรรมชาติของลูกๆ เองที่รู้ว่าตนมีวิธีเรียนรู้สรรพสิ่งอย่างไร ด้วยจังหวะก้าวอย่างไร และด้วยวิธีไหน
หนังสือเล่มนี้ได้บอกเราถึงเรื่องหนึ่งที่เลี่ยงไม่ได้คือ เมื่อเริ่มต้นทำโฮมสคูลแล้วเราจะยังไม่มั่นใจจนแล้วจนรอดว่าที่ทำอยู่ดีพอหรือยัง ความไม่แน่ใจ ความกังวล ความสับสนว่าอะไรใช่อะไรไม่ใช่จะยังคงมีอยู่ตลอดการเดินทาง ซึ่งผู้เขียนหนังสือเล่มนี้จะให้คำยืนยันและให้กำลังใจแก่เราเสมอว่านี่เป็นธรรมชาติของการเรียนรู้ โฮมสคูลเป็นการเรียนรู้ร่วมกันของเราและลูกๆ เท่าๆ กับการเรียนรู้ของลูกๆไปพร้อมๆกัน
หลายบ้านเตรียมพร้อมทฤษฎีโฮมสคูลมาอย่างดีก่อนจะพบว่าใช้ไม่ได้เลย อะไรๆ มิได้เป็นไปตามทฤษฎีหรือคู่มืออย่างง่ายๆ ตรงนี้อธิบายได้ว่าคู่มือโฮมสคูลมิใช่คู่มือมาตรฐานตามแบบฉบับการศึกษาในกรอบดั้งเดิม คู่มือโฮมสคูลใดๆ ทำได้เพียงจุดชนวน ช่วยวางโครงร่างคร่าวๆ ให้เริ่มต้น แต่หลังจากเริ่มต้นไปได้ไม่นาน หลายครั้งที่ลูกๆจะจูงเราเดินตามไปเอง ไปไหน คำตอบคือไปเรียนรู้ร่วมกัน
มีตัวอย่างตลกๆ ในหนังสือเล่มนี้หลายที่ มีเรื่องหนึ่งที่ผมชอบเป็นพิเศษคือเรื่องที่พ่อแม่เตรียมบทเรียนกลางแจ้งเรื่องการบินและแอโรไดนามิกส์มาอย่างดี เด็กๆ ก็ให้ความร่วมมือกันเต็มที่ ทันใดนั้นเด็กคนหนึ่งก็โวยวายออกมาด้วยความตื่นเต้นเมื่อพบงู หลังจากนั้นการเรียนรู้เปลี่ยนทิศไปเป็นการสำรวจและเจาะลึกเรื่องงูกันเฉย
เมื่อเด็กๆ เรียนรู้จากโฮมสคูล การประเมินการเรียนรู้ที่ดีที่สุดคือการฟัง ฟังเขาเล่าว่าเขารู้อะไร อย่างไร และรู้สึกนึกคิดอย่างไร ด้วยวิธีนี้เด็กจะได้ฝึกทักษะการสื่อสาร (communication skill) อย่างเป็นธรรมชาติ เขาอาจจะไม่คล่องในตอนแรกๆ แต่เขาจะเชี่ยวชาญมากขึ้นเรื่อยๆ และมากกว่าเด็กๆ ในการศึกษาตามระบบที่ถูกประเมินด้วยข้อสอบมากเสียจนบางครั้งเรารู้สึกว่าจะได้เท่าที่สอบ
ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้เล่าในตอนกลางเล่มว่า ลูกห้าคนของเธอจะง่วนอยู่กับงานที่ตนเองสนใจและต่อยอดการเรียนรู้ที่มุมของตน โดยอธิบายว่าเหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะการเรียนรู้เป็นรางวัลในตัวของมันเอง มิใช่ความเข้มงวดหรือรางวัลล่อใจใดๆ ที่การศึกษาในระบบมักมอบให้ อย่างไรก็ตาม ลักษณะนิสัยอย่างที่เห็นมิได้เกิดจากการให้เสรีภาพแล้วทุกอย่างจะดีเอง นอกเหนือจากการให้โอกาสเขาได้พูดหรือแสดงออกแล้วการเตรียมความพร้อมวัยเด็กเล็กเป็นเรื่องสำคัญ เขาจะมิใช่แค่ทำงาน แต่จะทำงานหนักได้ด้วย